กระต่าย (ม้า) มีอาการเจ็บปวดช่องท้องถึงตายจากการสร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร!

7 จำนวนผู้เข้าชม  | 

กระต่าย (ม้า) มีอาการเจ็บปวดช่องท้องถึงตายจากการสร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร!

กระต่าย (ม้า) มีอาการเจ็บปวดช่องท้องถึงตายจากการสร้างไฮโดรเจนซัลไฟด์ของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหาร!
โดย รศ.ดร.สมโภชน์ วีระกุล (หมอแก้ว)

เรื่องวิชาการที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ และควรรู้ ปัญหาทางเดินอาหารในกระต่ายเป็นปัญหาที่พบมากที่สุดมาตลอด เกือบทุกกรณีที่มาพบสัตวแพทย์มักพบความเจ็บปวด ตั้งแต่อ่อนจนไปถึงรุนแรงจนเสียชีวิตได้ อะไรที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นขึ้น โดยจะลงรายละเอียดไปที่สาเหตุตอนท้ายกลับไปหาต้นเหตุตามกลไกการเกิดโรคและอาการ และเรื่องนี้น่าจะเข้าใจได้ยากสำหรับคนทั่วไป แต่ยังเป็นเรื่องที่สัตวแพทย์เฉพาะทางควรทำความเข้าใจเพิ่มเติม

ประการหนึ่งที่ควรเข้าใจก่อน คือ ความเจ็บปวดที่เกิดกับกระต่ายในภาวะลำไส้อืดนั้นจะเกิดที่ลำไส้ใหญ่เป็นหลัก เป็นอาการปวดเสียดร่วมกับการบีบตัวของทางเดินอาหาร และมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างหรือกายวิภาคของทางเดินอาหารส่วนลำไส้ใหญ่นั้น ซึ่งสามารถเห็นจากภาพการเอกซเรย์ได้ตั้งแต่แรก ส่วนอื่น ๆ ของทางเดินอาหารจะเกิดการเปลี่ยนแปลงตามมาภายหลัง จะคล้ายการเกิดโคลิก (colic) ในม้าและช้าง ตัวสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ถูกมองข้ามแต่เป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดขึ้น คือ ไฮโดรเจนซัลไฟด์

ผลผลิตของไฮโดรเจนซัลไฟด์หรือแก๊สไข่เน่ามาจากแบคทีเรียกลุ่มหนึ่งเรียกว่า sulfate reducing bacteria หรือแบคทีเรียรีดิวซ์ซัลเฟต ทำหน้าที่เปลี่ยนซัลเฟตให้เปลี่ยนเป็นซัลไฟด์ ปรกติในทางเดินอาหารจะสร้างแก๊สนี้อยู่แล้วตามธรรมชาติด้วยปริมาณพอดี ในมนุษย์และสัตว์สุขภาพปรกติจึงพบช่วงค่าปรกติได้ (ความเข้มข้นของไฮโดรเจนซัลไฟด์ในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีอยู่ระหว่าง 0.3 ถึง 3.4 mmol/L) (อ้างโดย Dordevic et al., 2021 from Journal of Advanced Research) โดยไม่เกิดผลต่อร่างกายแต่ยังพบมีผลตามกลไกทางสรีรวิทยา ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การนำไปใช้ประโยชน์ และการกำจัด เป็นต้น แต่หากมีมากจะก่อให้เกิดการอักเสบ ปวดเสียดที่ลำไส้ใหญ่ หากเป็นสัตว์ชนิดอื่นอาจจะพบปวดเสียดอยู่พักหนึ่งและถ่ายพุ่ง มูลมีกลิ่นของกำมะถันปน เช่น ม้า วัว ควาย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในกระต่ายส่วนใหญ่จะเกิดอาการปวดเสียดและไม่ขับถ่าย เป็นแบบโคลิกเช่นเดียวกับที่พบในม้า ในมนุษย์เชื่อว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคทางเดินอาหารอักเสบ (inflammatory bowel diseases) ที่เรียก ulcerative colitis เนื่องจากพบรายงานความสัมพันธ์กรบไฮโดรเจนซัลไฟด์ ที่ทำให้ลำไส้ใหญ่เกิดการอักเสบได้ มีผลไปทำลายเยื่อบุลำไส้และรบกวนการทำงานของเซลล์ทางเดินอาหาร โดยไฮโดรเจนซัลไฟด์จะไปลดการเผาผลาญบิวทีเรต (oxidation) ซึ่งเซลล์ลำไส้ใหญ่จะใช้พลังงานมากกว่าร้อยละ 70 จากบิวทีเรตเป็นหลัก จึงทำให้ขาดพลังงานและเซลล์ตาย

แบคทีเรียเหล่านี้มีอยู่แล้วในธรรมชาติและทางเดินอาหาร ในภาวะไร้ออกซิเจนหรือมีน้อย จึงพบจุลินทรีย์เหล่านี้ได้แม้กระทั่งในน้ำดื่มน้ำใช้ของเรา หากมีภาวะออกซิเจนต่ำจึงอาจจะได้กลิ่นกำมะถัน ไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นพิษร้ายแรงและตัวการสำคัญทำให้ทางเดินอาหารเกิดการอักเสบ โดยแบคทีเรียพัฒนาเริ่มจากอาศัยแหล่งผลผลิตที่ได้จากแบคทีเรียชนิดอื่นมาเป็นพลังงาน ได้แก่ แลคเตต ไพรูเวต มาเลต ซัคซิเนต และอะซิเตต ซึ่งเป็นผลผลิตจากกระบวนการหมักอาหารของสัตว์กินพืชตามธรรมชาติ ก่อนหน้านี้โดยเริ่มจากกลุ่มแบคทีเรียแลคติก (lactic bacteria) ก่อน ที่จะให้ผลผลิตเป็นกรดแลคติกจำนวนมาก และบางส่วนเป็นอะซืติก เอทานอล และคาร์บอนไดออกไซด์ ผลผลิตที่เป็นแลคเตตและอะซีเตตจึงเป็นแหล่งเริ่มต้นการนำไปใช้ของแบคทีเรียรีดิวซ์ซัลเฟต บางชนิดสามารถเจริญได้ในกรดไขมันอิสระเหล่านี้ ซึ่งมีหลายชนิด จึงเป็นไปได้ว่าช่วงค่าปรกติของสัตว์กินพืชจะมีค่าที่สูงกว่ามนุษย์และสัตว์ชนิดอื่น

การที่มีค่าสูงผิดปรกติจึงมักจะมาจากการมีผลผลิตของกรดแลคติก แลคเตต และอะซีเตตในปริมาณสูง ซึ่งมักมีจุดเริ่มต้นมาจากการได้รับอาหาร ขนม หรือผลไม้ ที่มีแป้งเป็นองค์ประกอบสูงกว่าที่ยอมรับได้ เป็นผลทำให้แบคทีเรียแลคติกเจริญและเพิ่มจำนวนอย่างมากในระยะแรก และให้ผลผลิตข้างต้นปริมาณมากตามมาด้วย กลายเป็นแหล่งของซัลเฟต และยังเกิดจากการให้อาหารที่มีส่วนผสมที่มีซัลเฟตและซัลไฟต์ซึ่งพบได้ในผลิตภัณฑ์อาหารของมนุษย์

สรุปง่าย ๆ ให้ทุกคนได้เข้าใจรวมถึงผู้เลี้ยงที่สนใจจะศึกษา การได้รับอาหารที่ไม่เหมาะสม ได้แก่ พืชอายุน้อย ขนม แป้ง ผลไม้ พืชที่ให้น้ำตาลสูง อาหารข้นขาดคุณสมบัติที่จะเป็นอาหารเม็ดที่เหมาะสมในสัตว์กินพืช และอาหารที่มักผสมเมล็ดธัญพืช (muesli) ในปริมาณที่ไม่เหมาะสม (อาหารข้นที่มาจากแป้งไม่ควรเกิน 0.06%BW) อาหารเหล่านี้มีผลทำให้เกิดผลผลิตของแลคติกปริมาณที่สูงมาก ซึ่งเป็นผลผลิตเริ่มต้นของกรดไขมันอิสระหลายชนิดที่จะมีปริมาณสูงมากไปด้วย จึงส่งผลต่อสุขภาพสัตว์หลายประการ (เช่น ทำให้กรดแก่หรือลด pH (ความเป็นกรดเป็นด่าง) จนจุลินทรีย์ต่าง ๆ พากันตายเพราะทนสภาพสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ได้ เมื่อไปทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ พวกก่อโรคจึงฉวยโอกาสเข้ามาทำร้าย เป็นภาวะเสียสมดุลของจุลินทรีย์ (dysbiosis) และการให้อาหารเหล่านี้จะส่งผลให้ได้ผลผลิตเป็นกรดไขมันอิสระ (เป็นสิ่งที่ดี แต่หากมีมากเกินความต้องการก็ไม่ดี) และฮอร์โมนอีกจำนวนมาก เกิดภาวะไม่สมดุล การสร้างสารอักเสบจึงเพิ่มมากขึ้นผิดปรกติ เช่น ฮิสตามีน ทั้งในการย่อย การนำไปใช้ด้วยจุลินทรีย์ชนิดต่าง ๆ และการดูดซึม ทั้งนี้หากมีในปริมาณที่พอดีก็จะเป็นด้านบวก แต่หากมากไปก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพ จึงยกตัวอย่างไฮโดรเจนซัลไฟด์เป็นอีกชนิดที่มักถูกมองข้าม เอามาเน้นให้ทำความเข้าใจเพิ่มเติม ถ้ามีมากก็เกิดความเป็นพิษ และเป็นตัวการอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดการอักเสบ และที่สำคัญคือเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดปวดเสียดรุนแรงจนถึงตายได้ในกระต่าย

จุดเริ่มต้นก็มาจากสาเหตุเดียวกันกับปัญหาต่าง ๆ ที่คนส่วนใหญ่ทราบ คือ การจัดการอาหารไม่เหมาะสม คนที่รู้ลึกซึ้งและตื้นเขินก็แตกต่างกัน ในฐานะสัตวแพทย์ยังมีอีกบทบาทในการให้ความเข้าใจกับผู้ใฝ่รู้ ให้ตระหนักถึงพิษภัยจากอาหาร และยังมีอีกหลายปัญหาที่ทำให้เกิดลำไส้อืดและลำไส้อักเสบนอกจากแก๊สชนิดนี้ ทั้งฮิสตามีน ระดับความเป็นกรดด่าง ผลการกระตุ้น PGE, aldosterone, และ motilin เป็นต้น และความเข้าใจนี้ยังช่วยให้สัตวแพทย์ไปจนถึงผู้เลี้ยงได้เห็นแนวทางการรักษาที่ได้ผล และการป้องกันให้อายุยืน ซึ่งเกิดการพัฒนามานานแล้ว

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้