336 จำนวนผู้เข้าชม |
เมื่อสลอธท้องเสีย
ตอนที่ 1 ธรรมชาติของสลอธที่เกี่ยวข้อง
โดย รศ.ดร.สมโภชน์ วีระกุล (อาจารย์แก้ว)
ได้เคยลงบทความเกี่ยวกับสลอธมาครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่เขียนก็เพราะมีปัญหาสุขภาพให้ได้พบ ครั้งนี้จึงอยากเล่าต่อ โรคทางเดินอาหารยังคงเป็นโรคอันดับหนึ่งในกลุ่มสัตว์เลี้ยงพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปัญหาเรื่องอาหารและการจัดการ ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่จะท้องเสียที่มักเกิดจากอาหารเป็นพิษ คุ้ยขยะ หรือติดเชื้อจากอาหาร ขณะที่ในสัตว์กินพืชเกิดจากการกินสัดส่วนอาหารไม่เหมาะสม และส่งผลให้ท้องเสียหรือท้องอืด
สลอธ (sloth) เป็นสัตว์กินใบไม้เป็นหลัก หน่อ ดอก และบางครั้งบางชนิดพบมีผลไม้ และหากมีโอกาสยังพบการกินแมลง ไข่ สัตว์ขนาดเล็ก และพบว่ามีการเจริญของพวกสาหร่ายตามขนของสลอธบางชนิดบ้างเชื่อสามารถเป็นแหล่งอาหารได้ แต่อาจเป็นเพียงพฤติกรรมการเลียขนเพราะไม่ตรวจพบสาหร่ายในทางเดินอาหาร (The sloth conservation foundation) ความสามารถในการกินได้หลากหลายมักพบได้ในกลุ่มสลอธที่มีนิ้ว two-toed (Choleopus) ต่อไปเรียกพวกสองนิ้ว แต่พวก three-toed (Bradypus) หรือพวกสามนิ้ว จะค่อนข้างมีขอบเขตและจำเพาะกับอาหาร เช่น เลือกกินเป็นหลักเฉพาะใบไม้ของต้นซีโครเปีย (cecropia) ยังพบบางครั้งกินใบคลีทราเซียและคลัสซีเซียร่วม เป็นต้น จึงนำมาจัดการเลี้ยงได้ยาก และอาหารกลายเป็นปัญหาสุขภาพ สลอธจัดเป็นสัตว์ที่เชื่องช้า มีกล้ามเนื้อน้อย และมีอัตราการเผาผลาญพลังงานที่ต่ำมาก ซึ่งผู้เลี้ยงควรตระหนักเพราะจะมีความสัมพันธ์ไปกับการเกิดโรคและแนวทางในการรักษา อาหารของสลอตจึงเป็นพวกให้พลังงานต่ำ โปรตีนต่ำแม้ว่าโดยปรกติระดับโภชนาการของใบไม้ ทั้งพลังงานที่ได้ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตจะดีกว่ากลุ่มกินหญ้า อย่างไรก็ตามเยื่อใยอาหารยังต้องสูง หรือต้องมองให้ละเอียดไม่เกี่ยวว่าเป็นพืชชนิดใด หมายถึงอาหารต้องประกอบด้วยเยื่อใยทั้งชนิดย่อยได้ (เพกติน เฮมิเซลลูโล) ซึ่งเป็นพวกย่อยได้ปานกลางไปถึงย่อยยาก เมื่อเทียบกับแป้งที่ย่อยได้ง่ายกว่า ส่วนเซลลูโลสนั้นย่อยได้ยาก และลิกนินเป็นพวกย่อยไม่ได้ ทุกชนิดมีความสำคัญ ชนิดย่อยได้เป็นตัวหลักของแหล่งอาหารและพลังงานในสัตว์กินพืชรวมทั้งสลอธ ไม่ใช่มาจากแป้ง โปรตีน หรือไขมัน และควรมีสัดส่วนของเยื่อใยชนิดย่อยไม่ได้สูงเพียงพอต่อการกระตุ้นให้เกิดการขับถ่ายหรือการบีบตัวตามปรกติ ระดับพลังงานที่ต้องการจะต่ำกว่าสัตว์ชนิดอื่น ที่ร้อยละ 37-45 เท่านั้นของ BMR (basal metabolic rate) หรือลดลงมากกว่าครึ่ง
เพราะเป็นสัตว์กินพืช กระเพาะส่วนหน้า (foregut) จึงแบ่งออกเป็นห้องคล้ายในอูฐ แต่มีมากกว่าถึง 6 ห้อง (multichambered) และเทียบกลไกการทำงานกับในวัว คือการใช้การหมักอาหารที่กินเข้าไปด้วยจุลินทรีย์ แหล่งอาหารเริ่มต้นจึงสำคัญมากต่อการหมักที่เหมาะสม และรักษาสมดุลของจุลินทรีย์เอาไว้ได้ จะกล่าวอีกมุม สลอธต้องพึ่งพาจุลินทรีย์ในการหมักและย่อย สลอธจะเลือกกินอาหารที่เหมาะกับจุลินทรีย์แล้วจุลินทรีย์จะหมักให้ กลายเป็นแหล่งสารอาหารและพลังงานหลักของร่างกาย ตัวจุลินทรีย์เองก็ได้ประโยชน์จากอาหารเหล่านี้ในการเจริญเติบโตเช่นกัน หากสลอธเลือกกินผิดธรรมชาติหรือผู้เลี้ยงป้อนอาหารไม่เหมาะสม จะเกิดเสียสมดุลของจุลินทรีย์ และเกิดอันตรายต่อทางเดินอาหาร แต่ก่อนหน้าที่จะเกิดสิ่งเหล่านี้ กลไกการก่อเหตุลำไส้อักเสบได้ดำเนินการไปก่อนแล้ว
กายวิภาคของกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารทำให้สบอธไม่สามารถเรอ อาเจียน และแม้กระทั่งผายลม ทำให้เกิดการสะสมของแก๊สได้มากหากได้รับอาหารไม่เหมาะสม จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่การจัดการอาหารต้องเหมาะสม สัตวแพทย์ยังต้องเข้าใจแนวทางการตรวจวินิจฉัยและการรักษาที่สอดคล้องกับสิ่งเหล่านี้ แก๊สจึงพบได้จำนวนมากในสลอธเลี้ยงและรอการขับออกเพียงการขับถ่ายมูล ซึ่งเกิดขึ้นไม่บ่อย เพียงสัปดาห์ละครั้งตามธรรมชาติ จะสะสมไว้ที่ลำไส้ใหญ่และขับถ่ายในปริมาณมาก อาจถึง 30% ของน้ำหนักตัว
อีกปัจจัยที่ควรรู้เกี่ยวกับสลอธที่มีผลต่อการรักษา คือ การเคลื่อนที่ของทางเดินอาหารช้า หรือเรียก gastrointestinal transit time นานมาก และนานเกินคาดการณ์ได้ในแต่ละตัว นอกจากด้านสรีรวิทยาของสลอธเองแล้ว ที่มีระดับเผาผลาญพลังงานต่ำและมีมวลกล้ามเนื้อน้อย เชื่อว่าขึ้นกับชนิดอาหาร แสง อุณหภูมิ (สลอธมีความสามารถในการควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ไม่ดีเกือบจะเหมือนเป็นสัตว์เลือดเย็น จะพยายามธำรงอุณหภูมิร่างกายให้ต่ำ โดยอาศัยช่วง 30-34 องศาเซลเซียส เพื่อลดการใช้พลังงาน เช่น พวกสามนิ้ว Bradypus จะหากินในเวลากลางคืนตลอดทั้งคืน ขณะที่พวกสองนิ้ว Choleopus หากินในเวลากลางวันเป็นช่วง และพบว่าอุณหภูมิที่เย็นเกินไปจะไปลดการทำงานของจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารและลดจำนวนของจุลินทรีย์ ในตัวป่วยจึงมักทำการการเสริมโพรไบโอติกส์ จุลินทรีย์จะย่อยได้ดีขึ้นในช่วงอบอุ่น รวมทั้งสลอธกินได้มากขึ้นเล็กน้อย) ที่อยู่อาศัยจึงสำคัญ และยังมีผลมาจากสังคมต่อการกินอาหาร ปรกติในสัตว์กินพืชจะใช้เวลาตั้งแต่กินเข้าไป หมักย่อย ดูดซึม จนไปถึงการขับถ่าย จะใช้ระยะเวลาครึ่งวันโดยทั่วไป เช่น ในกระต่าย 4-6 ชั่วโมง (มูลแข็ง) และ 8-12 ชั่วโมง (มูลอ่อน) ในหนูตะเภา 3-5 ชั่วโมง ในม้าและวัว 24-72 ชั่วโมง และในช้าง 18-48 ชั่วโมง เป็นต้น ในสลอธอาจพบว่านานเป็นสัปดาห์จนถึงเป็นเดือนจึงพบการขับถ่ายนับจากกินมื้อนั้นเข้าไป ทั้งนี้ยังรวมไปถึงการกินปริมาณอาหารที่น้อยมากในแต่ละวัน เช่นในพวกสามนิ้วจะกินใบไม้เพียงวันละ 2.5 ออนซ์ (73.5 กรัม) ต่อตัวเท่านั้น และมีความเป็นไปได้ที่การหมักย่อยโดยอาศัยจุลินทรีย์ในอาหารจะมีความสมบูรณ์มากเพราะใช้เวลานาน จากการทดสอบของศูนย์อนุรักษ์สลอธของคอสตาริก้า พบว่าใช้เวลาหมักย่อยนานถึง 11-30 วัน เฉลี่ย 16 วัน ซึ่งยาวนานมาก หากทำการประเมินกากอาหารที่ขับออกมาเป็นมูล จะได้ประมาณ 20% ของอาหารที่กินเข้าไป โดยประเมินจากปริมาณของลิกนินและเซลลูโลสในใบไม้ของต้นซีโครเปีย หรืออาจมากกว่า 45% หากประเมินจากเยื่อใย NDF (36 - over 60%) อย่างไรก็ตามการรายงานการศึกษาของศูนย์อนุรักษ์ครอสตาริการะบุว่าสลอธจะถ่ายมูลประมาณ 30% ของน้ำหนักตัว สัปดาห์ละครั้ง ซึ่งได้กล่าวไว้ข้างต้น ระยะเวลาในการหมักนานจะยิ่งทำให้จุลินทรีย์ได้ใช้ประโยชน์จากเยื่อใยอาหาร สัมประสิทธิ์การย่อยได้จึงสูง ที่จริงมูลจะมีขนาดเล็กลงและปริมาณน้อย เมื่อเทียบกับสัตว์กินพืชชนิดอื่น เช่น วัว ม้า เป็นต้น หรือแบบกวาง เรียก deer pellet แต่ในสลอธจะสะสมมูลที่ลำไส้ใหญ่ส่วนท้ายก่อนขับถ่ายในปริมาณมาก
เมื่อทำการขยายความและประเมินคุณค่าทางโภชนาการตามธรรมชาติ โดยยกตัวอย่างใบซีโครเปีย พบว่ามีร้อยละของโปรตีน 1.13% ไขมัน 0.46% และคาร์โบไฮเดรต 32.7% ซึ่งคาร์โบไฮเดรตยังแบ่งไปเป็นเยื่อใยชนิดย่อยได้และย่อยไม่ได้และสารอาหารภายในเซลล์ โดยรวมถือเป็นอาหารพลังงานต่ำ แต่พบว่าเป็นแหล่งที่พบว่ามีแร่ธาตุอุดม เช่น แมกนีเซียม โพแทสเซียม แมงกานีสและเหล็ก เป็นต้น อย่างไรก็ตามหากประเมินจาก AZA เรื่อง Sloth nutrition guide กล่าวว่า สลอธกินใบไม้เป็นหลักเกือบ 100% ทั้งพวกชนิดสองนิ้วและสามนิ้ว แต่อาหารที่ได้แนะนำส่วนใหญ่จะมีระดับโปรตีนสูง 15-25% ทั้งที่ใบไม้ควรมีโปรตีนอยู่ประมาณ 10% ซึ่งก็ต่างไปจากที่พบในใบซีโครเปียตามธรรมชาติ ไขมันแจ้งว่าไม่แน่นอนแต่เขาอ้างว่าพบบางชนิดกินไข่ ซึ่งหมายถึงพวกสองนิ้วเท่านั้น อาหารควรเป็นพวกเยื่อใยอาหารสูง ควรมีระดับ NDF 10-30% และ ADF (lignin, cellulose) 5-15% ซึ่งค่า NDF สอดคล้องกับรายงานในสัตว์กินพืชชนิดอื่น ที่ควรมี ADF สูง และอาจถึง 25-30% เพื่อป้องการเกิดลำไส้อืดและปวดเสียดในสัตว์กินพืชหลายชนิด แต่ในสลอธยังขาดหลักฐานเชิงวิจัย อย่างไรก็ตามเป็นผลมาจากการศึกษาทางคลินิกที่เห็นความสัมพันธ์ของอาการท้องเสียจากอาหารไม่เหมาะสม ซึ่งจะอธิบายกลไกต่อไปในตอนที่ 2 AZA แนะนำว่าแป้งและน้ำตาลควรน้อยกว่า 15% ซึ่งที่จริงควรจะต่ำกว่านั้นหรือเลือกแป้งที่พบได้ตามธรรมชาติจากใบไม้ และควรใช้สำหรับการฝึกหรือส่งเสริมพฤคิกรรมเท่านั้น และทาง AZA ระบุว่าเลือกใช้อาหารของ leaf eating primate ได้ (NRC 2003)
อย่างไรก็ตามขอแนะนำว่าอาจไม่ได้เป็นไปตามนี้ หากประเมินจากสุขภาพสลอธและความชุกของการเกิดอาการท้องเสีย ล้วนมีส่วนมาจากความเข้าใจที่ไม่เหมาะสมในเรื่องนี้ได้ ซึ่งจะได้แจกแจงต่อไป ซึ่งหากทำความเข้าใจไกด์ของ AZA ทั้งหมดเขาก็จะห้ามและให้ระวัง เพราะสูตรอาหารเหล่านี้ก็ถือว่าเสี่ยง และให้ใส่ใจว่าสลอธเป็นสัตว์ที่ได้แหล่งพลังงานจากการหมักโดยจุลินทรีย์ จึงจำเป็นต้องจำกัดแป้งและน้ำตาลอย่างมาก ในขณะที่ศูนย์อนุรักษ์สลอธในคอสตาริกาก็ยังระบุว่าสลอธจำนวนมากที่ถูกเลี้ยงไว้ในกรงขังอาศัยอยู่ในสวนสัตว์ห่างไกลจากป่าฝนเขตร้อนอันเป็นถิ่นกำเนิดของพวกมัน ซึ่งทำให้การหาพืชสดตามธรรมชาติมาเลี้ยงสลอธเป็นเรื่องยากมาก ดังนั้นองค์กรหลายแห่งจึงให้อาหารแก่สลอธด้วยพืชทุกชนิดที่มีอยู่ เช่น ผัก รวมถึงพืชหัวและพืชจากภูมิอากาศนอกเขตร้อน ซึ่งพวกมันไม่ได้วิวัฒนาการมาเพื่อกิน จึงอยากให้มีความตระหนักยิ่งขึ้น นั่นหมายถึงสูตรอาหารที่รวบรวมโดย AZA ก็ไม่ได้ถูกต้องตามธรรมชาติแต่เป็นการปรับปรุงไปตามความจำเป็น โดยเฉพาะพวกสองนิ้วที่กินได้หลากหลาย จึงมักพบสูตรที่ต้องระมัดระวังมากขึ้น ศูนย์อนุรักษ์ยังกล่าวว่าอาหารทั่วไปของสลอธสองนิ้วที่ถูกเลี้ยงในกรงประกอบด้วยแครอทต้ม ไข่ ดอกไม้ ขึ้นฉ่าย ถั่วเขียว และกล้วยอาหารประเภทนี้มีกลูโคสมากเกินไปสำหรับสลอธ และอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนทางสุขภาพ เช่น โรคเบาหวานและโรคหัวใจ แต่ในทางคลินิกปัญหาสุขภาพที่จะพบได้ก่อนคือท้องเสีย และรุนแรงถึงเสียชีวิต
ใบไม้ที่แนะนำโดย AZA ได้แก่ hibiscus, bamboo, Cecropia, copperleaf, elm, mulberry, plumbago, และ willow เป็นต้น เมื่อเทียบกับการสำรวจตามธรรมชาติของศูนย์อนุรักษ์ The sloth conservation foundation พบหลากหลายชนิดเพิ่มเติม ในพวกสามนิ้วที่กินใบไม้เป็นหลัก: ฝักและใบโกโก้ ( Theobroma cacao ) ซังกริลโล ( Pterocarpus officinalis ), Cecropia spp., โคโลราโด ( Luehea seemannii), ไคลาเมต ( Ficus insipida ), ซาโปตาเซียน ( Micropholis venulosa ), ต้นมะเดื่อ(Ficus spp), อะโพไซนาเซีย(Mandevilla sp.), วงศ์โมราเซีย วงศ์ยูโฟร์เบีย และวงศ์บอมบาคาเซีย และในพวกสองนิ้วที่กินได้หลากหลายมากกว่าใบไม้: ดอกไม้ตระกูล Bobacaceae, ใบและดอกของต้น Barrigon (Pseudobombax septenatum), เถาวัลย์, เอสปาเว(Anacardium excelsum), โปโร(Cochlospermum vitifolium) และ โจโบ(Spondias spp.) เป็นต้น
สำหรับเรื่องท้องเสียนี้ยังอีกยาว โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป เกิดได้อย่างไรแล้วควรจัดการอย่างไร